Wednesday, December 16, 2009

PharAtikankosit PharAtikankosit kongtan - บริหารการศึกษา - เรื่อง: วิธีลดความอ้วนแบบพุทธ

PharAtikankosit PharAtikankosit kongtan - บริหารการศึกษา - เรื่อง: วิธีลดความอ้วนแบบพุทธ: "ปัจจุบันนี้วงการแพทย์ถือว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและจะก่อเกิดโรคอันตรายอื่น ๆ ตามมา อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ในพระไตรปิฎกท่านก็กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่าร่างกายอ้วนเกินไปเป็นสิ่งไม่ดี เพราะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดอุ้ยอ้าย อายุสั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วนตามหลักพุทธศาสนาท่านว่าเกิดจากความไม่รู้จักประมาณในการบริโภค
ดังนั้นในวันนี้เราจึงขอเสนอเทคนิคการควบคุมอาหารแบบพุทธอันอาจจะช่วยให้ ท่านลดความอ้วนอย่างได้ผลดียิ่งขึ้น

๑. พิจารณาถึงผลดีของการควบคุมอาหาร ในสมัยพุทธกาล ยังมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งชื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ทรงมีพระวรกายที่อ้วนมาก เพราะทรงเสวยพระกระยาหารจุเกินไป ความอ้วนทำให้พระองค์ไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะสะดวก วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสังเกตเห็นความอุ้ยอ้ายอึดอัดในพระวรกายของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงตรัสพระคาถาว่า 'บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ รู้ประมาณในอาหารที่ได้มา จะมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า มีอายุยืนนาน '

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้พระราชนัดดา (หลาน) ของพระองค์คอยว่าคาถานี้ทุกครั้งที่พระองค์กำลังจะเสวยพระกระยาหาร ปรากฏว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลสามารถลดความอ้วนได้สำเร็จเพราะคาถานี้เอง
คุณสามารถที่จะใช้วิธีแบบพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยคุณอาจจะเขียนข้อความพรรณนาถึงผลดีของการบริโภคแต่พอดีว่ามีผลดีต่อสุขภาพร่างกายเพียงไร (ให้เขียนเอาเองนะครับ) จากนั้นเวลาจะรับประทานอาหารคราวใดก็ให้หยิบกระดาษโน้ตนี้ขึ้นมาอ่านไปพลางรับประทานอาหารไปพลาง
วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสติยั้งคิดในการรับประทานอาหารตลอดเวลา ทำให้สามารถควบคุมการบริโภคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


๒ . เห็นความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมโลก วิธีคิดแบบนี้นอกจากจะฝึกลดความต้องการบริโภคแล้ว ยังเป็นการ ฝึกจิตใจของตนเองให้เกิดความเมตตากรุณาอีกด้วยครับ วิธีคิดนี้ได้มาจากพระไตรปิฎก มีพระสูตรหนึ่งที่สอนให้เราไม่ควรบริโภคอาหารด้วยความสนุกสนานเมามัน แต่ควรบริโภคด้วยความรู้สึกเห็นคุณค่าของอาหารที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอดต่อไป เพื่อพัฒนาตนให้พ้นจากสังสารวัฏอันยาวใกล โดยให้คำนึงถึงความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ที่ต้องยอมเสียสละชีวิตเพื่อให้เราอยู่รอด อุปมาพ่อแม่จำใจต้องรับประทานเนื้อบุตรของตนเองกลางทะเลทรายเพื่อเอาชีวิตรอดเดินทางต่อไป

จากหลักการที่กล่าวมาข้างต้น เราสามารถที่จะนำมาประยุกต์เป็นวิธีคิดลดความต้องการบริโภคของเรา แบบง่าย ๆ คือเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นโฆษณาหรือภาพของอาหารน่ากินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด ให้คุณมีสติตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ภาพของสิ่งของที่น่ากินต่าง ๆ เหล่านี้มากระตุ้นจิตใจของคุณให้เกิดความต้องการบริโภค พร้อมกันนั้นให้ใช้พลังจินตนาการของคุณสร้างความคิด 'เชื่อมโยง' มองให้เห็นภาพความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ที่อยู่เบื้องหลังภาพอาหารอันน่าเอร็ดอร่อยต่าง ๆ นี้เป็นการภาวนาตามหลักพุทธศาสนา คือสร้างความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และด้วยคุณธรรมที่เกิดขึ้นนี้เองจะบรรเทาความรู้สึกต้องการบริโภคให้น้อยลงไป แต่อย่าลืมว่าคุณต้องมีสติตั้งมั่นอยู่เสมอ เพราะระบบบริโภคนิยมที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณนั้น พร้อมที่จะปรุงแต่งจิตใจของคุณให้ต้อง การบริโภคอยู่ตลอดเวลา

ยกตัวอย่างนะครับ
เห็นร้านไก่ทอดชื่อดัง อึม..ม ชักหิวแล้วสิเรา
คิดในใจ เห็นภาพไก่น้อยน่าสงสารถูกขังอยู่ในกรง ถูกป้อนสารเคมี แถมกลางคืนก็ไม่ให้ได้หลับนอน ด้วยการเปิดไฟสว่างไว้ทั้งวันทั้งคืน เพื่อเร่งให้โตเร็ว ๆ โถ..น่าสงสารจริง ๆ เจ้าไก่น้อย


เห็นใส้กรอกน่าอร่อย หู..ว ใส้กรอกทอดหอมกรุ่นบนเตา
คิดในใจ เห็นภาพเจ้าหมูนอนคุดคู้อยู่ในกรงเหล็กอันร้อนระอุ เจ้าคงจะไม่รู้สินะว่าเขาจะพาเจ้าไปฆ่าเพื่อนำไป เป็นอาหารของมนุษย์


เห็นช็อคโกแล็ตน่ากิน หีบห่อน่ารัก คิกขุ น่าขบเคี้ยว
คิดในใจ เห็นคนในชนบทต้องลำบากตากแดดตัดอ้อยเพื่อมาทำน้ำตาลใส่ช็อคโกแล็ต ชาวชนบทเหล่านี้นอกจากจะถูกกดขี่ค่าแรงแล้ว บางทีก็ถูกมอมเมายาเสพติดอีกด้วย โถ..น่าสงสารจริงๆ ถัดจากนั้นก็ให้นึกเห็นโคนมที่ถูกรีดนมจนเจ็บระบมเพื่อเอานมไปเป็นส่วนผสมกับโกโก้เพื่อผลิตเป็นช็อคโกแล็ต ฯลฯ


ไม่ยากเลยใช่ใหมครับ เพียงแต่เราจะต้องมีสติคิดให้ทันกับสิ่งที่มากระทบสายตา ซึ่งสามารถพบเห็นได้อยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาในโทรทัศน์ อาหารน่ากินต่าง ๆ ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารต่าง ๆ ฯลฯ การปรุงแต่งความคิดเพื่อให้เกิดความเมตตากรุณานี้จะเป็นคุณค่าทางอารมณ์ใหม่ที่มาทดแทนความรู้สึกต้องการบริโภคที่คุณถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาจากสิ่งรอบ ๆ ตัว วิธีคิดเช่นนี้จะช่วยให้ความต้องการบริโภคของคุณลดลงไปเองโดยธรรมชาติ แน่นอนครับ เมื่อความต้องการบริโภคลดลง ความอ้วนก็ย่อมลดลงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

๓. ฝึกจิตคิดเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลในขณะบริโภคอาหาร ตามปรกติปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปเมื่อรับประทานอาหารที่มีรสชาติอร่อย จิตใจของเขาก็จะรู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับรสชาติของอาหารนั้น ทำให้รู้สึกอยากจะรับประทานเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะแน่นท้องรับประทานไม่ไหว หรือ คิดติดใจว่านี้คืออาหารโปรดของเรา ที่จะต้องกลับมารับประทานบ่อย ๆ อะไรทำนองนั้น นี่คือความคิดปรุงแต่งที่เป็นไปเองตามธรรมชาติของปุถุชนที่ไม่ได้รับการศึกษา

วิธีการต่อไปนี้จึงเป็นท่าไม้ตายในการทำลายความยึดติดในรสชาติของอาหาร นั่นคือ ฝึกจิตคิดเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลในขณะบริโภคอาหาร ด้วยการนึกเห็นสภาพของอาหารว่าเป็นปฏิกูลในขณะที่เราขบเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก เช่น อาจจะนึกจินตนาการให้เห็นภาพอาหารที่เราขบเคี้ยวอยู่นี้อยู่ในใจว่ามีสภาพเป็น อาจม หรือ อาเจียน หรือนึกให้เห็นอาหารนั้นอยู่ในสภาพที่เน่าบูดมีแมลงวันตอมก็ได้ ฯลฯ คือ จะนึกปรุงแต่งอย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้เห็นภาพความเป็นปฏิกูลของอาหารในขณะที่เราขบเคี้ยวอาหารอยู่เป็นใช้ได้ เป็นวิธีคิดที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาพระว่า 'อาหาเรปฏิกูลสัญญา' เป็นเทคนิคการคิดที่ทำให้จิตใจของเราคลายจากความยึดติดในรสชาติของอาหาร ถอยกลับคืนสู่ความเป็นปรกติ ทำให้เกิดการบริโภคอย่างพอดี ไม่บริโภคมากจนเกินไป และ สามารถควบคุมจิตใจของตนเองไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับอาหารโปรดแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยไม่มีความจำเป็นต้องไปพึ่งอาศัยยาแต่อย่างใด"