Wednesday, December 16, 2009

Dhamma4you: วิธีลดความอ้วน-แบบพุทธ ลด10-20กิโลกรัม ภายใน1-3เดือน

Dhamma4you: <!>วิธีลดความอ้วน-แบบพุทธ ลด10-20กิโลกรัม ภายใน1-3เดือน: "วิธีลดความอ้วน-แบบพุทธ ลด10-20กิโลกรัม ภายใน1-3เดือน
วิธีลดความอ้วน-แบบพุทธ
ลด10-20 กิโลกรัม ภายใน 1-3เดือน (โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย ทั้งยังมีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้น)

คนสมัยนี้รับประทานอาหารเกินความจำเป็นต่อความต้องการของร่างกาย เพราะ
เทคโนโลยีการผลิตอาหารมีการพัฒนามากขึ้น จึงมีอาหารให้มนุษย์เลือกบริโภครับประทานมากมายเหลือเฟือ หรือการทานอาหารไม่เป็นเวลาเช่น ทานอาหารเช้า ตอนมื้อเที่ยง ทานอาหารเย็นตอน3ทุ่ม4ทุ่ม แล้วก็เข้านอนเลย แต่ผลวิจัยทางการแพทย์วิจัยออกมาว่า การทานอาหารเย็นแล้วก็รีบเข้านอนเลยภายใน5-6 ชั่วโมง จะทำให้เราอ้วนเร็วมากกว่าคนปกติ 2 เท่า เพราะอาหารยังย่อยไม่ทัน หรือนำไปใช้งานใดๆ จึงสะสมตัวในรูปของไขมันทันที แต่ถ้ารับประทานอาหารเย็นแล้วรีบเข้านอนภายใน2-3ชั่วโมง จะทำให้เราอ้วนเร็วมากกว่าคนปกติ 3-4 เท่า ดังนั้นเราจึงอ้วนอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนวิธีลดความอ้วน-แบบวิธีพุทธ คือ การทานอาหารเฉพาะที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์จริงๆเท่านั้น คือ 1-2มื้อเท่านั้น คือ มื้อเช้า และมื้อกลางวัน(ก่อนเที่ยง) เพราะอาหารเช้า เป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เพราะจะถูกแปรสภาพเป็นพลังงานของร่างกายที่นำไปใช้ได้ตลอดวันทั้งวัน
พลังงานนั้นจะถูกส่งไปเลี้ยงเซลล์สมอง และเซลล์ของร่างกายทุกๆส่วน อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่จริงแล้วอาหารเพียงมื้อเดียวก็เพียงพอสำหรับร่างกายมนุษย์แล้ว ดังครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้า กับพระอริยะสาวก สาวิกา ต่างก็รับประทานอาหารมื้อเช้าเพียงมื้อเดียวเท่านั้น

และต้องงดอาหารมื้อเย็นเพราะเป็นอาหารมื้อที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายเลย เพราะ เดี๋ยวเราก็ต้องเข้านอนแล้ว ร่างกายต้องการพักผ่อนอย่างจริงจัง แต่การทานอาหารมื้อเย็นนี้ทำให้ร่างกาย ต้องกลับทำงานอย่างหนักขึ้น เพราะ ระบบการย่อยอาหารเป็นระบบที่ร่างกายต้องใช้พลังงานมาก สังเกตได้จากหลายครั้งที่เราทานอาหารเสร็จใหม่ๆมักจะทำให้เราง่วงนอน หนังตาตก ง่วงซึม และถ้าเราทานอาหารแล้วเข้านอนเลย มักจะทำให้นอนฝันร้าย โรคลมกำเริบ ท้องอืด นอนก็อึดอัด นอนไม่ค่อยหลับ อาหารไม่ย่อยและโรคอ้วนก็จะถามหาเราอย่างแน่นอน

...ส่วน การถือศีล 8 ตามแบบวิถีพุทธศาสนาของเราที่เราทำตามสืบต่อกันมานานกว่า 2,500 ปีแล้ว ปัจจุบันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังทำได้ และทำต่อไป แต่คนส่วนมากยังอาจไม่รู้ถึง คุณประโยชน์ คุณสมบัติ อานิสงค์ และวิธีปฏิบัติๆก็มีแค่ 8 ข้อง่ายๆไม่ยาก หากแต่ต้องลองดูก่อน คือ

ศีลจรรยาข้อที่ 1. ไม่ฆ่าสัตว์
ศีลจรรยาข้อที่ 2. ไม่ลักทรัพย์
ศีลจรรยาข้อที่ 3. ไม่ผิดในคู่ครองของใครเช่นสามีภรรยาบุตรของผู้อื่นและ
ส่วนบุรุษต้องไม่สัมผัส กายสตรี และสตรีต้องไม่สัมผัสกายของบุรุษ เป็นการรักษาพรหมจารี(พรหมจรรย์)อย่างบริสุทธิ์แท้จริง ( อย่างน้อยก็ในช่วงวันที่เราตั้งใจอธิษฐานสมาทานเท่านั้น )
ศีลจรรยาข้อที่ 4. ไม่พูดปด
ศีลจรรยาข้อที่ 5. ไม่ดื่มสุรา เสพย์สิ่งเสพติดของมึนเมา เพื่อไม่ให้มนุษย์ขาดสติสัมปชัญญะ
ศีลจรรยาข้อที่ 6. ไม่ทานอาหารหลังเที่ยง แต่สามารถทานหรือดื่มน้ำผลไม้(ที่เรียกว่าน้ำปานะ)ได้ เช่น น้ำส้มคั้น ,น้ำฝรั่ง,น้ำองุ่น,น้ำหวาน,น้ำอัดลม,น้ำผึ้ง,น้ำชาทุกชนิด,กาแฟ,โกโก้ เป็นต้น ถ้าประเภทของเคี้ยวก็เช่น ลูกอม, บ๋วย, น้ำตาลปี๊ป เป็นต้น หรือสิ่งที่นับเข้าเป็นยา-เภสัชรักษาโรค เช่น สมอ,กระเทียมดอง,มะขามป้อม,เมล็ดทานตะวัน(ยาแก้โรคตา),ว่านหางจระเข้(ยาโรคท้อง) เป็นต้น
ศีลจรรยาข้อที่ 7. ไม่ดูการละเล่น ฟ้อนรำ หรือไปร่วมเล่น ละคร ลิเก มหรสพ ร้องรำทำเพลง และไม่นุ่งห่มเสื้อผ้าที่ไม่สำรวม หรือใส่เครื่องน้ำหอมจนมากเกินไป
ศีลจรรยาข้อที่ 8. ไม่นอนที่นอนที่สูง หรือที่นอนที่ทำด้วยนุ่น เพราะจะทำให้เมื่อนอนสบายเกินไปจะทำให้ประมาท นอนไม่มีสติ ขาดการพิจารณาทางปัญญา ( แต่ในทางการแพทย์การนอนที่นอนที่นุ่มเกินไป จะทำให้ผู้นอนเป็นโรคปวดหลัง หลังคดงอได้ เมื่อปวดหลังก็ ทำให้นอนไม่หลับอยู่ดี สู้ที่นอนฟูกธรรมดา ยังจะดีเสียกว่าอีก หลับสบายและเก็บรักษาก็ง่ายสะดวก )

....การรักษาศีล8 นั้นเราเริ่มจากการสมาทานหรือ การอธิษฐานรักษาเพียง แค่ หนึ่งวันหนึ่งคืนก่อนก็ได้ เช่นวันที่เราสะดวกไม่ต้องไปกินงานเลี้ยงนอกบ้านจะเป็นวันที่เราทำงานปกติก็ได้ หรือวันที่เราพักผ่อนอยู่บ้านเสาร์อาทิตย์ก็ได้ เพราะการทำบุญนั้นไม่จำเป็นจะต้องออกไปทำบุญนอกบ้าน เช่นออกไปทำบุญใส่บาตรที่วัด หรือสถานสงเคราะห์คนพิการ-สัตว์พิการ แต่สามารถทำอยู่ที่บ้านก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินใช้ทองอะไรก็เป็นการได้บุญเหมือนกัน แถมจะมีอานิสงค์มากกว่าด้วย เพราะเป็นการรักษาจิตใจ ฟอกใจให้ใสสะอาด งดการเบียดเบียนผู้อื่น เมื่อศีลเรางดงาม จิตใจเราก็ผ่องใสมีพลังพลานุภาพ ความสุขที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน ก็จะปรากฏขึ้นแก่จิตใจเราในครั้งนี้อย่างน่าอัศจรรย์ อานิสงค์การรักษาศีลจึงมีมากกว่าการทำบุญบริจาคทานมากนัก และการรักษาศีล 8 ก็เหมาะสำหรับยุคปัจจุบันที่ไม่ต้องไปเหนื่อยทนกับปัญหามลพิษ-การจราจรที่ติดขัด และผู้คนที่วุ่นวายในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และที่ชุมชนต่างๆ


…และถ้าท่านสามารถ ถือศีล 8 ได้ 1 เดือนหรือ 3 เดือนติดต่อกันท่านก็จะมีร่างกายหรืหุ่นที่ดีขึ้นโดยน้ำหนักตัวของท่านจะลดลงไปอย่างน้อย 10-20 กิโลกรัมแน่นอน
ขอยกตัวอย่างผู้ที่ทดลองวิธีนี้แล้วสำเร็จ เช่น…
1.ชายผู้หนึ่ง แต่ก่อนมีน้ำหนัก 120 กิโลกรัม แต่ ลดความอ้วนด้วยวิธีพุทธ นี้ ผ่านมา 1ปีเขามีน้ำหนักที่ 65 กิโลกรัม
2.คุณหมอด็อกเตอร์ ทันตแพทย์ ที่มหิดล ท่านหนึ่งแต่ก่อนเขามีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม แต่ ลดความอ้วนด้วยวิธีพุทธ นี้ ผ่านไป 3เดือน เขามีน้ำหนักที่ 48 กิโลกรัม
3.ชายผู้หนึ่ง แต่ก่อนมีน้ำหนัก 68 กิโลกรัม แต่ ลดความอ้วนด้วยวิธีพุทธ นี้ ผ่านมาไป 2 เดือน เขามีน้ำหนักที่ 54 กิโลกรัม
4.บุคคลผู้หนึ่ง แต่ก่อนเขามีน้ำหนัก 80 กิโลกรัม แต่ ลดความอ้วนด้วยวิธีพุทธ นี้ ผ่านไปไม่กี่เดือนเขามีน้ำหนักที่ 64 กิโลกรัม
5. และจักขอยกตัวอย่างบุคคลสำคัญในสมัยพุทธกาล เช่น นางวิสาขา “ มหารัตนะอุบาสิกาแห่งพระพุทธศาสนา ”
เธอเป็นเศรษฐีที่มั่งคั่งร่ำรวยมากในสมัยนั้น คือ มีเงินมากนับเป็น ร้อยๆโกฎิกหาปณะทองคำ (1 โกฏิ = 10,000,000 กหาปณะ , ถ้า1กหาปณะธรรมดา = 4 บาท เพราะฉะนั้น =4,000 ล้าน ส่วนกหาปณะทองคำนั้น ก็มีค่ามากนับไม่ได้ด้วย) โดยเธอก็ยังทำธุรกิจการงานตามปกติ เช่น ธุรกิจ ทำเหมืองแร่,การเงิน,การกสิกรรม,เกษตรกรรม,ปศุสัตว์ ต่างๆ แต่เธอจะรักษาศีล 8 ทุกวันพระ 7ค่ำ8ค่ำ , 14 ค่ำ15ค่ำ จนตลอดชีวิต(โดยเธอมีอายุยืนถึง 120 ปี)ถ้าสมัยปัจจุบันคือทุกเสาร์-อาทิตย์นั่นเอง และเธอก็เป็นสตรีที่มีความงดงามมากคือ สตรีประเภทเบญจกัลยาณี มีความงามทั้ง 5อย่าง คือ ผิวงาม ผมงาม ฟันงาม เนื้องาม วัยงามคืองามทุกวัย แม้เธอล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าระหว่างหลานสาววัย15 ปีของนาง กับตัวนางวิสาขาเอง ใครคือหลาน และใครคือยาย กันแน่ เพราะงามเหมือนกันมากจนดูไม่ออกเลย นี่แสดงว่าเธอมีความงามมากแม้จะผ่านพ้นวัยรุ่น วัยสาว มัชฌิมวัย จนเข้าสู่ปัจฉิมวัย เธอก็ยังคงงามอยู่ทุกๆวัย นี่เป็นบุคคลตัวอย่างที่แสดงให้เราประจักษ์ชัดว่า เธอประสบความสำเร็จทั้งด้านการงาน คือยังสามารถประกอบการงานตามปกติเป็น Working Woman ในสมัยนั้นทั้งเป็นมหาเศรษฐีนีที่ร่ำรวยมากๆนับ 1,000 ล้านกหาปณะทองคำ แต่เธอก็แบ่งเวลามาประพฤติธรรมได้คือรักษาศีล 8 ได้ทุกวันพระหรือทุกเสาร์อาทิตย์ ทั้งยังทำสม่ำเสมอได้ตลอดทั้งชีวิต ส่วนชีวิตทางธรรม เธอก็สามารถเป็นถึงอริยสาวิกา ชั้น พระโสดาบัน โดยพระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งเป็น มหาอุบาสิกา ผู้เป็นเลิศด้านอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเยี่ยมด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง นี่คือตัวอย่างอานิสงค์เพียงหนึ่งตัวอย่างเท่านั้น ของการตั้งใจประพฤติรักษาศีล 8 อย่างเป็นประจำ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ขอเพียงให้ท่านลองทำดูก็แล้วกัน เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

ดังพุทธดำรัสตรัสว่า ……..

“ การทำบุญให้ทาน 100 ครั้ง ไม่เท่า รักษาศีล 5 เพียงครั้งเดียว,การรักษา ศีล 5 ถึง 100 ครั้ง ไม่เท่าการรักษา ศีล 8 เพียงครั้งเดียว .”
และ “ ผู้มีชีวิตอยู่ถึง ตั้ง 100 ปี ไม่ประเสริฐเท่าผู้มีชีวิตอยู่ด้วยศีลธรรม เพียงแค่ วันเดียว ยังประเสริฐกว่า”
และ “กลิ่นของหอมใดๆในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นดอกมะลิ , กลิ่นกฤษณา , กลิ่นจันทร์แดง ยังเป็นกลิ่นหอมที่หอมไปตามลมเท่านั้น แต่กลิ่นหอมของผู้มีศีล ย่อมหอมไปไกลทั้งสวรรค์และพรหมโลก ทั้งตามลมและทวนลมฉะนั้น”
และ “อานิสงค์ของผู้รักษาศีล 8 นี้แม้เพียงแค่กึ่งหนึ่ง หรือแค่เพียงครึ่ง วันเท่านั้น เมื่อผู้นั้นละอัตภาพจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดเป็น เทวบุตร เทวธิดา ชั้นดาวดึงส์ มีบริวาร พันหนึ่ง หรือไม่ก็ไปเกิดเป็นกษัตริย์ ราชา มหาเศรษฐี0ต่อไปนับชาติไม่ถ้วน ”



...สรุปการลดความอ้วนด้วยวิธีนี้ ท่านสามารถทานอาหารได้ทุกๆอย่างเหมือนเดิมตามที่ท่านชอบ ไม่มีข้อห้ามเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเจ, มังสวิรัติ,จะเนื้อหมู 3 ชั้น, ไข่,ปลา,เนื้อ,นม,ผักต่างๆได้ตามปกติ
แต่ขออย่างเดียวอย่าทานอาหารหลังเที่ยงเท่านั้นเอง ถ้าจะทานหลังเที่ยงขอให้เปลี่ยนมาดื่มน้ำผลไม้ที่มีผลดีต่อสุขภาพแทน แค่ท่านทำได้ตามนี้ 1-3เดือนเท่านั้น ท่านก็จะมีน้ำหนักลดลง 10-20 กิโลกรัมอย่างแน่นอน

...จึงขอให้ท่านที่แสวงหาสัจจะความดีงาม จงลองมาลดความอ้วน ด้วยวิธีพุทธ ดูเถิด ! ....เพื่อ ความสุขสงบ ของจิตใจ และสุขภาพที่ดี หุ่นหล่อสวยสมสัดส่วน ตามแต่ที่ท่านจะปรารถนาเทอญ..."